ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เทรนด์สุขภาพปลุกกระแส “น้ำดื่มผสมวิตามิน” กลายมาเป็นทางเลือกสุขภาพปฎิวัติวงการน้ำดื่มบรรจุขวด ด้วยลักษณะเหมือนน้ำเปล่าใสไม่มีสี ผสมวิตามินปรุงแต่งกลิ่น โฆษณาชวนเชื่อดื่มแล้วดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนอดสงสัยไม่ได้ว่าดื่มแล้วดีสมคำร่ำลือแค่ไหน?
“น้ำดื่มผสมวิตามิน” แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ผู้บริโภครุ่นใหม่ต่างเทใจให้น้ำดื่มผสมวิตามินแร่ธาตุแบรนด์ต่างๆ ส่งผลให้ตลาด “เครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ” เติบโตอย่างรวดเร็ว กล่าวเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทฟังก์ชันนัลดริงก์ (Functional Drink) น้ำดื่มผสมวิตามินมีมูลค่าสูงกว่า 5,500 ล้านบาท
สำหรับตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินในเมืองไทยมีอยู่หลายแบรนด์ มีผู้เล่นหลายค่ายออกผลิตภัณฑ์น้ำดื่มผสมวิตามินแข่งขันกันอย่างดุเดือด ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น ทุ่มงบโฆษณาจัดโปรโมชั่นกันอย่างคึกคัก
สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำดื่มผสมวิตามิน จัดอยูในประเภทฟังก์ชันนัลดริงก์ (Functional Drink) เป็นเครื่องดื่มทางเลือกตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับข้อมูลของ กันตาร์ เวิลด์พาแนล ไทยแลนด์ (Kantar Worldpanel) บริษัทผู้เชี่ยวชาญการวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึกโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภค อธิบายถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทย พบแนวโน้มผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มหวานน้อยและไม่หวานเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเป็น 5.1 ครั้งต่อปี ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นจากปีที่แล้วอยู่ที่ 4.97 ครั้งต่อปี
เทรนด์รักสุขภาพของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินคึกคัก ผู้ผลิตในไทยต่างพากันปรับตัวเพื่อตอบโจทย์รับกระแสสุขภาพ บนเชลฟ์สินค้าตามห้างร้านต่างๆ ให้พื้นที่สำหรับผลิตภัณฑ์ “น้ำดื่มผสมวิตามิน” หลายแบรนด์แข่งขันดุเดือด
สถานการณ์ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดในประเทศไทยในปัจจุบัน มีหลายเซ็กเมนต์รองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น จากการบริโภคน้ำเปล่าบรรจุขวด น้ำแร่ มาสู่น้ำผสมวิตามิน เป็นการยกระดับการดื่มน้ำบรรจุขวด
อย่างไรก็ตาม เจ้าตลาด “น้ำดื่มผสมวิตามิน” แบรนด์แรกๆ ที่เข้ามาสู่ตลาดเมืองไทย คือ “ยันฮี วิตามิน วอเตอร์” (Yanhee Vitamin Water) ดำเนินการภายใต้ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจเครือโรงพยาบาลยันฮี ด้วยภาพลักษณ์ของกลุ่มธุรกิจทางด้านสุขภาพ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของสุขภาพ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด คือ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ น้ำดื่มจากดอกเก๊กฮวยสกัด ผสมวิตามินบี 3, บี 6, บี 12 และกรดโฟลิค และ ล่าสุด ยันฮี วิตามิน ซี วอเตอร์ เป็นเครื่องดื่มน้ำวิตามินซี 200% ผสมเฉาก๊วยสกัด โดยเน้นเรื่องการใส่ใจสุขภาพ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีโซเดียม สร้างความสดชื่น
เจ้าของไอเดียคือ นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลยันฮีนั่นเอง ไอเดียมาจาก Pain Point ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล คิดค้นขึ้นในปี 2557 หลังจากเห็นว่าคนไข้หลังผ่าตัดจะอยู่ในภาวะอ่อนแอ เพราะเสียเลือดเยอะ หมอก็ทำการจ่ายยาวิตามินเพื่อฟื้นฟู แต่ผู้ป่วยจะไม่ค่อยยอมกินยา เพราะมีเม็ดขนาดใหญ่ จึงหาวิธีทดแทนการกินยา เพื่อไม่อยากให้ผู้ป่วยอ่อนแอลงไปอีก จึงคิดค้นน้ำวิตามิน และจ่ายน้ำวิตามินแทนยา เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็ว ดื่มแล้วสดชื่น
นายเจษฏา อุดมถิรพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงจุดประสงค์หลักของ ยันฮี วิตามินวอเตอร์ แรกเริ่มเป็นการตอบโจทย์คนไข้ในโรงพยาบาล กระทั่ง ขยายตลาดขายสู่กลุ่มคนทั่วไป ปัจจุบัน เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายเทรดิชันนอลเทรด 60-70% และโมเดิร์นเทรด 30-40%
และไม่นานมานี้ เครือยันฮีได้ออกผลิตล่าสุด “ยันฮี วิตามิน ซี วอเตอร์ (Yanhee Vitamin C Water)” น้ำดื่มผสมวิตามินซี 200% เนื่องจากมีผู้ป่วยมาหาหมอด้วยโรคภูมิแพ้เยอะขึ้น จึงมีการคิดค้นสูตรใหม่ขึ้นมา โดยสรรพคุณระบุว่ามีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และสมุนไพรสกัด ส่งผลให้ไม่ป่วยหรือเป็นหวัดได้ง่าย เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และเป็นตัวกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิวพรรณ เสริมสร้างคลอลาเจน ทำให้ผิวพรรณดูสดใสไม่แห้งกร้าน
เทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับช่วงโควิด-19 ทำให้คนตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้หลายหลายแบรนด์ลงมาทำตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน ซึ่งเป็นตัวเลือกสุขภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลาดน้ำผสมวิตามินในปีนี้จะมีมูลค่าแตะ 5,500 ล้านบาท โดยที่ ยันฮี วิตามินวอเตอร์ คาดว่ามีรายได้ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ครองตลาดเป็นอันดับหนึ่งเช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม น้ำผสมวิตามินในเมืองไทยมีอยู่หลายแบรนด์ด้วยกัน เริ่มด้วยน้องใหม่อย่าง “PH Plus 8.5” (พีเฮช พลัส 8.5) น้ำด่างผสมผสมวิตามินบีรวม ในเครือบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 เป็นเครื่องดื่มมีฤทธิ์ด่างอ่อน ปรับให้ร่างกายสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มความสดชื่นในระหว่างวัน ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลตัวเอง
ทั้งนี้ อิชิตัน ได้นำเข้าเทคโนโลยีที่ได้รับลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ในการผลิต และหวังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพชาวไทย วางเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
“เทรนด์ด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปัจจุบัน โดยการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้หลายคนหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ PH PLUS 8.5 มีฤทธิ์ด่างอ่อน ด้วยค่า PH 8.5 ช่วยปรับให้ร่างกายสมดุลจากสภาวะความเป็นกรดที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น อาหารรสจัด อาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบ และใช้ความร้อนสูงในการปรุง เช่นการปิ้งย่าง รวมไปถึงการใช้ชีวิตท่ามกลางความเครียด ฝุ่นควัน มลภาวะ ของคนเมืองยุคใหม่
“สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรด และแสดงออกในรูปของโรคต่างๆ เช่น กรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหาร การเผาผลาญไม่สมบูรณ์ ฯลฯ เมื่อร่างกายมีความสมดุลแล้ว ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมที่จะสู้โรคต่อไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสดชื่นในระหว่างวัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลตัวเอง และมองหาวิธีการสร้างสุขภาพที่ดีในรูปแบบของไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ” ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
โดยหัวใจสำคัญของ PH Plus 8.5 มองว่าน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายถึง 70% ร่างกายมีการใช้น้ำทุกส่วนและหมุนเวียนไปทุกอวัยวะ ดังนั้นการนำน้ำเข้าสู่ร่างกายจึงจะต้องเลือกน้ำคุณภาพที่มีความเหมาะสม เช่น น้ำที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง มีโมเลกุลขนาดเล็ก และไม่มีสารโลหะหนักเจือปน
ตามด้วยผลิตภัณฑ์น้ำดื่มผสมวิตามินแบรนด์ “B’lue (บลู)” ของบริษัท ดาน่อน-เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจส์ จำกัด ออกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอยู่ตรงกลางระหว่างน้ำเปล่า และเครื่องดื่มผสมวิตามิน ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น มีรสชาติ มีน้ำตาลน้อย โดยผสมวิตามิน 3 ชนิด ทั้ง B3, B6, B12 ด้วยกันทั้งหมด 5 รสชาติ เพลย์ฟูลพีช โพสซิทีฟแพร์ เครซี่แคกตัส ลัคกี้ไลชี่ และคูลคาลาแมนชี่
โดย B’lue เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ดานอน วอเทอร์ส บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเอเวียงและวอลวิก ตั้งเป้าแบรนด์ B’lue ชิงส่วนแบ่งตลาด 1 พันล้านภายใน 5 ปี ก่อนทะยานสู่อันดับ 1 ในส่วนแบ่งเครื่องดื่มผสมวิตามิน
ปิดท้ายที่แบรนด์ “VITADAY” (วิตอะเดย์) ของบริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด ออกผลิตภัณฑ์น้ำดื่มวิตามินต่างๆ เจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพ อาทิ วิตามินวอเตอร์ กลิ่นฮันนี่เลมอน น้ำดื่มวิตามินซีสูง 200% มีส่วนสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และ วิตามินวอเตอร์ กลิ่นเก๊กฮวย ผสมวิตามินบีรวม 100% ที่เน้นช่วยให้การทำงานของประสาทและสมองดี ฯลฯ
ชูจุดขายเน้นสร้างความแตกต่างจากน้ำดื่มผสมวิตามินบรรจุขวดแบรนด์อื่นๆ ผลิตด้วยการนำน้ำเปล่าผ่านระบบ UHT ในอุณหภูมิ 130 องศาเซียลเซียส ต้มน้ำให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนใช้เทคโนโลยีไนโตรเจนดรอปเพื่อคงคุณค่าและรสชาติ จากนั้นเติมวิตามินแต่งกลิ่นรสชาติด้วยกระบวนการนี้จะปราศจากน้ำตาล คงรสชาติเป็นเอกษณ์แตกต่างจากแบรนด์อื่น
โดย VITADAY สร้างยอดขายอันดับ 1 ในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินในเวลาแค่ 5 เดือน ปี 2562 ที่ผ่านมามีมูลค่าประมาณ 900 ล้านบาท และในปี 2563 คาดการณ์ไว้ประมาณ 1,800 ล้านบาท
โดยคาดการณ์ว่าตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน ปี 2563 มีมูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นหลายเจ้าลงสนามแข่งขันดุเดือด ตอบรับกระแสสุขภาพของผู้โภครุ่นใหม่ ที่ยินดีจ่ายเพิ่ม เพื่อซื้อสุขภาพที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เกิดข้อสงสัยว่าน้ำดื่มผสมวิตามินที่วางจำหน่ายอยู่ตลาด ที่มักโฆษณาในทิศทางเดียวกันว่าว่าดื่มแล้วดีมีประโยชน์ การผสมของวิตามินแร่ธาตุต่างๆ ลงไปในน้ำดื่ม หากพิจารณาคุณค่าทางโภชนาการคมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด เพราะอย่างที่ทราบกันว่าวิตามินเหล่านี้อยู่ตามธรรมชาติในผักผลไม้ต่างๆ
ในประเด็นนี้ ผศ.ดร.วศะพร จันทร์พุฒ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลว่าสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทั้ง มีอยู่ในผักผลไม้ หากขาดวิตามินเกลือแร่จะส่งผลให้ร่างกายทำงานผิดปกติในบางส่วน เช่นกรณีทานอาหารไม่ครบมื้อ ทานผักผลไม้มาเพียงพอ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งเครื่องดื่มผสมวิตามินเหล่านี้ถือป็นตัวเสริมสุขภาพ แต่ทางที่ดีเน้นไปการทานผักผลไม้ดีกว่า
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำดื่มผสมวิตามินประเภทฟังก์ชันนัลดริงก์ (Functional Drink) เป็นเครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ มีส่วนเสริมวิตามินที่ร่างกายอาจขาดหายไป แต่หากรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นทานผักผลไม้เป็นประจำ ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเหล่านี้
“เครื่องดื่มผสมวิตามินจะทำให้รู้เฟรชขึ้นมา แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลทางผลทางจิตใจด้วย ทีนี้ ถ้าเรารู้ว่าช่วงไหนร่างกายขาดวิตามินไม่ค่อยได้ทานผักผลไม้ ทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสริมได้ไม่เสียหาย หากมีกำลังซื้อ แต่ทางดีที่ทานผักผลไม้ ดูแลร่างกายตัวเอง ทานน้ำเปล่าเพียวพอแล้ว เพราะร่างกายเราไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติม”
กล่าวคือการดื่มน้ำเปล่าได้ประโยชน์เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมนุษย์แล้ว ขณะที่น้ำดื่มผสมวิตามินเพิ่มเข้ามาเป็นตัวเลือกด้านสุขภาพ เหมือนทานน้ำเปล่ากับวิตามินเสริมเข้าไปเป็น 2 IN 1 ซึ่งราคาอาจจะแพงกว่าน้ำเปล่าบรรจุขวดเป็นธรรมดา
สนนราคาที่แพงกว่าน้ำเปล่าบรรจุขวด แต่แลกกับคุณค่าทางโภชนาการที่เพิ่มขึ้น “น้ำดื่มผสมวิตามิน” จึงกลายมาเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพกันมาขึ้นในยุคนี้
September 05, 2020 at 06:05AM
https://ift.tt/331lC5A
ส่องพาเหรด “น้ำดื่มผสมวิตามิน” สวนสนามคึกคัก ชิงตลาด 5.5 พันล้าน ดื่มแล้วดี หรือ แค่โฆษณา!? - ผู้จัดการออนไลน์
https://ift.tt/3ciA1wM
Home To Blog
No comments:
Post a Comment